เทศน์เช้า

ปัญญา

๑๕ ก.ค. ๒๕๔๔

 

ปัญญา
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ปัญญาทางโลกกับปัญญาทางธรรมไง ถ้าปัญญาทางโลก ปัญญาทางโลกคิดไปทางโลก มันเป็นคิดไป มันเป็นเหตุเป็นผลทางโลกนะ ถ้าปัญญาทางโลกมันเป็นปัญญาทางโลก แต่ปัญญาทางโลกมันคิดส่งออกไปข้างนอก เวลาเราคิดเข้าไป มันอาศัยเราเป็นความคิด เราคิดออกไปข้างนอก

แต่ปัญญาทางธรรมมันคิดย้อนกลับมา เหมือนคิดฉุกใจ คิดฉุกใจคิดให้เราสะเทือนใจ คิดให้เราได้คิด ความคิด ปัญญาทางธรรมอันนี้มันคิดให้เราสะเทือนใจไง คิดแล้วให้เราย้อนกลับมาเป็นภายใน นี้มันได้คิดย้อนกลับมา มันถึงต้องอาศัยความฉุกคิด

ถ้าปัญญาทางโลก ปัญญาคิดออกไป แล้วมันมาเทียบกับศาสนาไม่ได้ ถ้ามันเทียบกับศาสนาแล้วมันเทียบกันไม่ได้เลย เพราะปัญญามันคนละกระแส ในพระไตรปิฎกบอก “ปัญญาทางโลกนี่ไปตามกระแส ตามกระแสทางโลกเขา โลกเขาไปตามกระแส มันพุ่งออกไปตามกระแสไป”

ฉะนั้นถ้าเราเอาความคิดอย่างนั้นมาเทียบเคียงศาสนานะ มันถึงเป็นปัญหาโลกแตก ถ้าเอาปัญหาอย่างนั้นมาเทียบกับศาสนานะ เป็นปัญหาโลกแตกเลย มันคิดออกไปแล้วมันเทียบกันไม่ได้ เราถึงต้องหยุด เห็นไหม ถึงต้องทำความสงบของใจ ต้องมีความหยุดใจ ถ้าทำความสงบของใจ แล้วใจมันคิดใหม่ ความคิดใหม่ของใจนี่มันจะย้อนกลับเข้ามา ย้อนกลับมาให้เราได้คิด

คนสำนึกผิดไง คนทำความผิดแล้วสำนึกผิด เหมือนคนหลับกับคนตื่น ถ้าคนหลับใหลนะ มันไปตามประสาความคิดของมัน มันหลับใหลไปกับกิเลสพาใช้ กิเลสมันพาใช้ความคิดไป มันหลับใหลได้ปลื้มแล้วก็คิดออกไป ไหลออกไปตามกิเลสอันนั้น แล้วก็หมุนไป มันเพลินไปกับอันนั้นนะ แต่! แต่ให้ผลเป็นความทุกข์ มันเป็นเวลาเพลิน มันเพลีย มันเหนื่อยยาก แต่มันพอใจคิด ความคิดอย่างนั้นมันพอใจมาก แล้วมันสุขใจ มันได้คิด มันสะใจไง มันสะใจว่าเราได้คิดได้กระทำ

เวลาคิดอย่างนั้นไป แล้วเอาปัญญาอย่างนั้นมาเทียบศาสนา มาเทียบศาสนาแล้วมันยิ่งมาทำให้เราคลางแคลงใจ ความคลางแคลงใจมันคิดว่ามันจะเป็นไปได้อย่างไร? มันจะเป็นไปได้อย่างไร? มันเป็นไปไม่ได้ ความคิดอย่างนี้มันเป็นไปไม่ได้ มันถึงต้องทำความสงบของใจ

เราทำความสงบของใจนะ ทำความสงบของใจมันมีผล ๒ อย่างเลยล่ะ อย่างหนึ่งคือจิตมันสงบนั้นได้พักแล้วอันหนึ่ง อันที่ ๒ มันจะเกิดปัญญาอันใหม่ขึ้นมา ปัญญาอันใหม่มันเป็นปัญญาของความคิด มันจะทันกันจากภายใน เหมือนกับห่วงวงล้อ เห็นไหม มันหมุนไป พอมันหมุนรอบไป ความวงล้อมันกว้างหรือวงล้อมันแคบมันจะได้ระยะทางมากกว่ากัน?

ความคิดข้างนอกนี่มันเป็นห่วงวงล้อข้างนอก แต่ความคิดของธรรมมันเป็นแกนของเพลา เพลาจากวงล้อนั้นมันหมุนออกไป แล้วจะย้อนกลับเข้ามาที่แกนนั้น เห็นไหม ถ้าคิดถึงเปรียบเทียบในทางกระแสในทางระยะทาง มันจะสั้นกว่าเขา แต่มันรู้สึกตัวได้มากกว่าเขา เพราะมันเข้าถึงใจของตัวเอง มันเข้าถึงความรู้สึกของตัว แล้วมันฉุกคิดเขาขึ้นมาจากภายใน

ถ้าใจมันฉุกคิดขึ้นมา มันจะเป็นประโยชน์กับเรามากเลย ถ้าใจมันไม่ฉุกคิดขึ้นมา เห็นไหม ถ้ามันคิดขึ้นมาไม่ได้ มันเทียบไปข้างนอก เทียบไปข้างนอก มันถึงเป็นคนหลับใหลกับคนตื่นขึ้นมา คนตื่นขึ้นมามันรู้สึกตัวเอง คนหลับไม่รู้สึกตัวเองเลย ความคิดหลับใหล ความคิดโดนกิเลสปกคลุมอยู่

ความคิดกิเลสปกคลุมอยู่ เราถึงไม่ทำคุณงามความดีกับเรา เราทำคุณงามความดีอย่างเช่นตักบาตร เห็นไหม ถ้าอาหารเห็นมากอย่างนี้มันคิดแล้ว ความคิดมันคิดเลยนะ เรามาทำบุญทำไม? ทำแล้วพระก็ไม่ได้ฉัน? พระก็ไม่ได้ประโยชน์กับพระ

สิ่งที่มันมาคิดอย่างนี้ นี่ความคิดของโลกเขา มันคิดแบบผลประโยชน์ไง มันคิดแบบความเห็นแก่ตัว ว่าออกไปแล้วมันต้องได้ใช้ได้สอย...ได้ใช้ได้สอยมันเป็นได้ใช้ได้สอยจริงตามสถานะ แต่ไอ้นั่นมันเป็นได้ใช้ได้สอยของใคร? มันเป็นสมบัติของใครไง?

ผู้ที่เขาสละออกไปนั้นเป็นสมบัติของเขา เราออกแรงเข้าไป ออกแรงขนาดไหน เราได้พลังงานเข้ามา นักกีฬาซ้อมขนาดไหนมันก็ได้กำลังเข้ามา

ไอ้ความสละออกของเราก็เหมือนกัน เราสละออกขนาดไหน เราทำขนาดไหน เราก็ได้ของเราเข้ามา ถ้าเราไม่ได้ของเรา เห็นไหม นี่คนตื่น คนตื่นมันขวนขวายเพื่อจะตัวเอง ถ้าไม่ขวนขวายตัวเอง คนอื่นทำแล้วมันเป็นสิ่งที่นอนใจว่า พระทำแล้วเป็นประโยชน์ของพระ พระองค์ไหนมีชื่อเสียงขึ้นมาคนจะไปหามาก ถ้าพระองค์ไหนที่ไม่มีชื่อเสียงขึ้นมา เห็นไหม ก็ต้องอาศัยครูบาอาจารย์เป็นผู้ที่เกาะดึงขึ้นมา มันต้องอาศัยสิ่งนั้นขึ้นมา อาศัยขึ้นมาเป็นชั้นเป็นตอนขึ้นมา

แต่ความคิดของโลกเขามันไม่ทำอย่างนั้น มันคิดแต่ของมันเป็นประโยชน์ของมัน มันคิดประโยชน์ของมันว่ามันจะได้ประโยชน์ไม่ได้ประโยชน์ มันคิดแต่โลก มันมองไม่เห็น มันลึกซึ้งเกินไปไง

ถ้าคนตื่นขึ้นมาแล้วมันถึงเห็นว่าบุญกุศลเป็นของเรา เราสละออกไปเป็นของเรา ของคนอื่นเป็นของคนอื่นเขา สิ่งที่เราขวางหูขวางตานั้นมันไม่ใช่เรื่องของเราเลย มันเป็นเรื่องของบุญกุศลขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางศาสนาไว้ เห็นไหม พุทธกิจ ๕ เช้าต้องบิณฑบาต แล้วก็สอนญาติโยมตอนสาย ตอนตกหัวค่ำนี่สอนพระ ตกกลางคืนสอนเทวดา ตอนใกล้รุ่งอรุณนี้กำหนดญาณดูแล้วว่าใครเป็นผู้ที่เข้าข่ายในญาณที่ควรจะไปโปรด เห็นไหม

คนที่เข้าข่ายในญาณมีในครั้งพุทธกาลนะ มี ๒ คนสามีภรรยานั่งขอทานอยู่ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปบิณฑบาตไง บิณฑบาตไปกับพระอานนท์ ยิ้มให้พระอานนท์เห็น พระอานนท์เห็นพระพุทธเจ้ายิ้มนะ มันมีเหตุแล้ว กลับมาตอนเย็นมาถามพระพุทธเจ้าว่า “ตอนเช้านั้นยิ้มเพราะอะไร?”

โอกาส เห็นไหม พระพุทธเจ้าไปเข้าญาณว่าถ้ายังมีโอกาส ก็บอก “สามีภรรยาคู่นี้ ฟังสิ! สามีภรรยาคู่นี้เป็นคนเข็ญใจ เป็นขอทานอยู่ แต่เดิมสามีภรรยาคู่นี้เป็นมหาเศรษฐีนะ แล้วเล่นการพนันจนหมดเนื้อหมดตัวไป ถ้าตอนที่เขาเป็นมหาเศรษฐีนั้น ถ้าเขาเจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างน้อยเขาได้เป็นพระอนาคามี”

เพราะหัวใจมันควรแก่การงาน เข้าข่ายแล้วไปโปรดใครก่อน แต่นี้เพราะเขาไม่เจอพระพุทธเจ้า เขาเล่นการพนันจนหมดเนื้อหมดตัวไป แล้วกลายเป็นคนทุคตะเข็ญใจมาเป็นขอทานอยู่ แล้วคิดดูสิว่าเขาก็เจอองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าใช่ไหม? เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบิณฑบาตไปต่อหน้าเขา เขาเจอตอนนั้น แต่เพราะจิตใจเขาแข็งกระด้างแล้ว เขามีแต่ความทุกข์ตรมในหัวใจ ความทุกข์ตรมในหัวใจมันไม่เปิดหัวใจหรอก ให้มันไม่ตื่นขึ้นมารับศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

นี่ตื่นเช้าขึ้นมา ก่อนเช้าก่อนสว่างพระพุทธเจ้าเล็งญาณเพื่อจะไปโปรดใคร ไปโปรดใครนะ พุทธกิจ ๕ พระพุทธเจ้าวางไว้ เช้าต้องบิณฑบาตไง เช้าบิณฑบาตขึ้นมา พระเราถึงบิณฑบาตมา แล้วพวกเรามันอยากได้บุญกุศล ออกโปรดสัตว์ เห็นไหม พระภิกษุออกโปรดสัตว์ โปรดสัตว์โปรดตัวเองก่อน โปรดอาหารเพื่อตัวเองด้วย แล้วโปรดสัตว์

ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าโปรดสัตว์โดยสมบูรณ์ เพราะว่าไม่มีกิเลสในหัวใจดวงนั้น ถ้ากิเลสในหัวใจดวงนั้นไม่มี มันมีความบริสุทธิ์ผุดผ่อง นี่ไปโปรดสัตว์ เราใส่บาตรอันนั้นนะ เนื้อนาบุญของโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเนื้อนาบุญของโลก เป็นเนื้อนาบุญ เห็นไหม เราได้หว่านได้ไถออกไปอย่างนี้ ถ้าเราได้ใส่อย่างนั้น เราจะได้บุญกุศลขนาดไหน?

นี่มันเป็นบุญกุศลของเรา เราถึงว่าพระพุทธเจ้าวางศาสนาไว้ เป็นศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่ได้พระภิกษุองค์ไหนทำไว้หรอก เป็นพุทธกิจ ๕ แล้วพระพุทธเจ้าวางไว้ เราทำตามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราไม่มองบุคคลคนนั้นไง เราไม่มองคนที่มาบิณฑบาตคนนั้นว่าเป็นอย่างไร แต่เราทำเพื่อความประเสริฐของเรา เพื่อบุญกุศลของเรา

ถ้าเราทำอย่างนั้นได้ มันจะย้อนกลับมาในหัวใจ แล้วมันก็เริ่มสงบใจของเรา มันถึงให้เห็นต่างกันว่าถ้าปัญญาของโลกมันเป็นความเห็นอย่างหนึ่ง ปัญญาของธรรมมันเป็นความเห็นอย่างหนึ่ง ปัญญาของธรรมมันจะปลุกหัวใจเราให้ตื่น แล้วมันควรแก่การงาน มันพอใจจะทำงานของมัน แล้วถ้าพอใจทำงานของมัน มันเห็นคุณประโยชน์ของมัน

ถ้าทำบุญกุศล มันจะให้ผลเป็นความสุข ถ้าคิดไปตามกระแสโลก ไปตามความคิดของโลก มันจะให้ผลเป็นความทุกข์ ความคิดเหมือนกันแต่ให้ผลต่างกัน ผลอันหนึ่งให้ผลเป็นความเร่าร้อน ผลอันหนึ่งให้ผลเป็นความร่มเย็น พอเราเห็นเป็นผลของความร่มเย็น มันก็ขวนขวายมีกระจิตกระใจจะทำ ถ้ามีกระจิตกระใจจะทำ เราต้องแสวงหา เราแสวงหาเนื้อนาบุญของโลก เราพยายามแสวงหาของเรา

คนตื่นขึ้นมามันก็หาอย่างนั้นเพื่อประโยชน์ของตัว เป็นความสุขของตัว พอเป็นความสุขของตัว มันก็ขวนขวายอยากได้มากขึ้นไป นี่อยากได้มากขึ้นไป ความสงบของใจสำคัญที่สุด ใจคิดใจนี่มันก้าวเดินออกไป ความสงบ เห็นไหม “ความสงบนิ่งนั้นคือการพักผ่อนที่ดีที่สุด” การพักผ่อนของเรา การเดินเล่น การเดินจ๊อกกิ้งตอนเช้า เห็นไหม

นี่ก็เหมือนกัน บุญกุศลนี่มันเหมือนกับเราเคลื่อนไป ใจต้องมีศรัทธามีความเชื่อ มันทำออกไป แต่ถ้าความสงบของใจ เห็นไหม บุญกุศลที่ว่ามันสงบใจ ใจพักผ่อน ใจอยู่กับตัวโดยทำความสงบของใจ อันนั้นสำคัญที่สุด พอสำคัญที่สุด พอธรรมชาติของใจ ใจมันพักผ่อนของมันได้กำลังของมันแล้ว มันมีพลังงานของมัน มันจะแสดงตัวออกมาใหม่ อันนั้นนี่ปัญญาของธรรม

ปัญญาของธรรมมันจะเกิดขึ้น จะเกิดตรงนี้ๆ ไง ถ้ามันสงบตัวแล้วมันมีปัญญาแสดงตัวออกมาใหม่ การแสดงตัวออกมาใหม่นั้น นั่นน่ะภาวนามยปัญญา ปัญญาอันนี้ปัญญาชำระกิเลส ปัญญาอันนี้เป็นปัญญาคือว่ามันทันตัวเอง เพราะจิตมันสงบก่อนมันถึงคิด มันถึงจะเป็นประโยชน์กับสัตว์โลกไง แต่มันเป็นปัญญาที่ว่าเกิดขึ้นไม่ได้เลยในเมื่อถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ก่อน ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ตรัสรู้จะว่ามัคคอริยสัจจังอยู่ตรงไหน? ความดำริชอบอยู่ตรงไหน? ความดำริผิดถูกอยู่ตรงไหน?

ความดำริของโลกเขา เขายึดมั่นถือมั่นในความเห็นของเขา ว่าความเห็นของเขานี้ประเสริฐ ความเห็นของเขานี้เป็นสิ่งที่มีคุณค่า พอคิดว่าความเห็นของเขามีคุณค่า เขาก็ยึดมั่นถือมั่นในความเห็นของเขานั้นเป็นสิ่งที่ไปเทียบเคียงกับหลักของศาสนา

ถ้าปัญญาโลกมาเทียบเคียงกับศาสนาแล้ว มันจะถึงว่าไม่เห็นตามหลักความเป็นจริง เห็นตามปัญญาของโลก เห็นตามปัญญากิเลสจะหลอกใช้ แล้วมันจะทำให้คนๆ นั้นคลอนแคลนไปในเรื่องสัจจะความจริงของตัวเองไง คลอนแคลนนะ สงสัยไปหมด สงสัยในเรื่องของโลก สงสัยในเรื่องความเห็นของตัวเอง สงสัยความคิดของตัว นี่สงสัย

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่เคยสงสัยเรื่องอย่างนี้เลย ท่านเคยเตือนพระภิกษุไว้ตลอดเวลาว่า “ถ้าพระ...ใครอยู่คนเดียวให้ระวังความคิดของตัวเอง”

ความคิดของตัวเองนี่สำคัญที่สุด เราอยู่ด้วยกัน ๒ คน ๓ คนขึ้นไปจะมีปัญหากันกระทบกระทั่งกันมาก เพราะว่ามันกระทบกระเทือนกัน แต่ถ้าอยู่คนเดียวมันก็คิดเบียดเบียนตัวเอง แต่คิดเบียดเบียนตัวเองในนามธรรมไง คิดเบียดเบียนตัวเองในทางอื่นไง คิดเบียดเบียนตัวเองให้เนิ่นช้าไง

ความเห็นของโลก ปัญญาของโลกถึงไม่เป็นประโยชน์กับใครทั้งสิ้น ทั้งๆ ที่เป็นปัญญาของเราเองก็คิดทำลายตัวเอง เห็นไหม คิดให้ทำลายตัวเองว่าตัวเองไม่มีประโยชน์ ตัวเองทำความเจริญขึ้นมาจากหัวใจของตัวเองไม่ได้ แล้วทำลายตัวเอง มันถึงได้พึ่งตัวเองไม่ได้ ถึงต้องหาครูหาอาจารย์ไง

นี่ที่ว่าไม่ให้ติดครูติดอาจารย์ ให้ติดธรรมะ ให้ติดธรรมะ...

จริงอยู่ให้ติดธรรมะ แต่! แต่ถ้าไม่ติดครูบาอาจารย์ เด็กไม่มีพ่อแม่เลี้ยงมาเลย โลกเราจะไม่มีใครสืบสายโลหิตกันต่อไปเลย เด็กเกิดขึ้นมาต้องพ่อแม่เลี้ยงก่อน ลูกศิษย์ก็เหมือนกัน พระบวชใหม่นี่มันเป็นภิกษุที่สอนยาก ความคิดของกิเลสของเรามันเต็มหัวใจ ถ้าความคิดของกิเลสเต็มหัวใจ มันต้องเบียดเบียนตนเอง ความเบียดเบียนความเห็นของตัวเอง มันต้องขอนิสัยครูบาอาจารย์

ถึงว่ามันต้องติดครูบาอาจารย์ก่อน ติดต่อเมื่อเรายังพึ่งตัวเองไม่ได้ แต่เมื่อเราพึ่งตัวเองได้แล้ว ความพึ่งตัวเองได้แล้ว คิดดูสิ ความที่ว่าฟังว่าพึ่งตัวเอง พึ่งตัวเองนี้มันยังไม่ใช่ว่าถึงความเข้าใจที่ถูกต้อง การพึ่งตัวเองได้ อาศัยตัวเองได้ อาศัยตัวเองแยกแยะ อาศัยตัวเองค้นคว้า อาศัยตัวเองทำให้มัชฌิมาปฏิปทาเกิดในหัวใจ นั้นมันจะเป็นธรรม อันนี้ถึงจะพึ่งธรรมไง ไม่พึ่งบุคคล

พระสารีบุตรนะไม่เชื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่เชื่อ เห็นไหม ไม่เชื่อเพราะตัวเองพึ่งตัวเองได้ ตัวเองเห็นตามความเป็นจริง อันนี้ก็เหมือนกัน ในเมื่อเราพึ่งตัวเองไม่ได้ เราก็ต้องอาศัยครูอาศัยอาจารย์เป็นผู้ชี้นำ ให้ครูอาจารย์...ถามสิ ถามปัญหา ถามความสงสัยของเราว่า “ความสงสัยอย่างนี้ ความคิดอย่างนี้ถูกต้องไหม? ความคิดที่เราเห็นอย่างนี้มันถูกต้องไหม?”

ถ้ามันถูกต้อง มันถูกต้องตามความเห็นของเรา แต่มันผิดจากหลักตามความเป็นจริง ถ้ามันถูกตามหลักความเป็นจริงขึ้นมา มันต้องเห็นความสัจจริง เห็นสัจจะ เห็นความเป็นไป

แต่นี่ไม่เป็นอย่างนั้น เราเป็นไปเอง ความคิดของเราหมุนไปตามอย่างนั้น เป็นอนิจจังหมุนไปตลอดเวลา แต่ไม่เคยเห็นความคิดของตัว ไม่เคยเห็นอะไร แต่เอาความเป็นอนิจจัง ความสกปรกอันนี้ไปเทียบเคียงศาสนา เอาความเห็นผิดของตัว เอาความคิดของตัวเองเทียบเคียงเข้าไปๆ ถึงได้ผลออกมาเป็นความยิ่งห่างไกลกับหลักความเป็นจริงออกไปเรื่อยๆ

แต่ถ้าเชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำความสงบเข้ามาก่อน มันจะใกล้กับหลักความเป็นจริง ความคิดอันนั้นมันจะเข้าไปเห็นหน้ากิเลส แล้วจะชำระกิเลสได้ นี่สัจธรรมเกิดขึ้น

ถ้าเราจะพึ่งธรรม เราต้องพึ่งธรรมอันนี้ ธรรมในหัวใจของเรา ถ้ามันเกิดขึ้นตามความเป็นจริง ตามความเป็นจริงนะ แต่ถ้าเราเห็น เราเห็นนี่เราว่ามันเกิดขึ้นตามความเป็นจริง เราเห็นจริง หลวงปู่ดูลย์บอกว่า “เราเห็นจริง แต่ความเห็นนั้นไม่จริง” มันไม่เกิดขึ้นตามความเป็นจริง มันเกิดขึ้นจากการคาดการหมาย การด้นการเดา

การคาดการหมายมันในอดีตอนาคตของกระแสของใจที่มันเคลื่อนออกไป เห็นไหม มันอยู่นิ่งไม่ได้ มันคาดมันหมายมันถึงเห็น เห็นตามความเป็นจริง แต่สิ่งที่เห็นนั้นไม่จริง ไม่จริงเพราะมันคาดมันหมายไปเห็น ถ้าจิตมันสงบขึ้นมา มันไม่คลาดเคลื่อนไป มันเป็นปัจจุบันธรรม สิ่งที่เห็นขึ้นมานั้นมันจะเห็นตามความเป็นจริง

ถึงว่าต้องตามความเป็นจริง จริงในตามสัจจะที่เห็น แล้วความจริงอันนี้มันจากเด็กขึ้นมา มันก็เห็นหยาบๆ ขึ้นไป แล้วจับมันไปพิสูจน์แล้วมันผิด มันก็จะเชื่อขึ้นมา พอโตขึ้นมา เห็นไหม ความเห็นของเด็ก ความเห็นของผู้ใหญ่ ความเห็นของผู้มีประสบการณ์มาก ความเห็นอันนั้นตีค่าหรืออ่านค่าอันนั้นต่างกัน การอ่านค่าต่างกันเพราะประสบการณ์ของชีวิตมันประสบการณ์มา

การประพฤติปฏิบัติก็เหมือนกัน ถ้ามันเห็นเข้ามาแล้วมันเห็นว่าผิดพลาดไป มันเป็นอนิจจัง มันจะปล่อยเอาอันนั้นออกไป แล้วมันจะเข้าไปหาอันที่ละเอียดเข้าไป ปล่อยสิ่งที่หยาบเข้าไปหาอันละเอียด ปล่อยสิ่งที่อันละเอียดเข้าไปเข้าหาอันที่ละเอียดลึกซึ้งเข้าไป ลึกซึ้งเข้าไปจนจิตมันตั้งมั่นได้ พอจิตมันตั้งมั่นได้ นั้นน่ะพึ่งตนเองได้ ถ้าพึ่งตนเองได้ นั่นน่ะถึงว่าไม่พึ่งบุคคล

เพราะความเชื่อ การให้มา เห็นไหม จากหัวใจดวงหนึ่งไปให้หัวใจดวงหนึ่งเป็นความเชื่อ ความเชื่อแก้กิเลสไม่ได้ แต่ความเชื่อทำให้หัวใจนี้ ปลุกหัวใจให้หัวใจอยากทำได้ แต่ความเชื่ออันนี้ไม่สามารถชำระกิเลสได้ ต้องเป็นปัญญาตามความเป็นจริงถึงชำระกิเลสได้ แต่ก็อาศัยความเชื่ออันนั้นเริ่มต้นจุดประกายขึ้นมาในหัวใจของเรา

เราถึงเชื่อธรรมต่อเมื่อถึงเวลาควรจะเชื่อธรรม ถ้ายังพึ่งตัวเองไม่ได้ต้องอาศัยครูบาอาจารย์ไปก่อน พ้นจากครูบาอาจารย์ไปแล้วก็เชื่อตัวเอง เชื่อตัวเองจนเห็นตัวเอง จนเห็นธรรมตามความเป็นจริง อันนั้นถึงเป็นปัญญาธรรม ปัญญาธรรมชำระกิเลส

ปัญญาของโลกมีแต่ความลังเลสงสัย ปัญญาของโลกเทียบเคียงไปแล้วก็เอาแต่ความลังเลสงสัยมาให้ตัวเอง แล้วตัวเองก็จะติดข้องไปอย่างนั้น แล้วไม่เป็นประโยชน์กับเรา เราถึงจะเชื่อใครได้?

ถ้าเชื่อใครไม่ได้ถึงต้องเชื่อธรรมไง เชื่อธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ถ้ายังไม่มีก็เชื่อครูบาอาจารย์ไปก่อน แล้วเราขวนขวายของเราไป มันจะเป็นประโยชน์กับเราเอง แล้วเราจะประสบแต่ความสุข ความสุขในชีวิตจริงของเรานะ ความสุขในชีวิตจริงของเราจะเป็นความสุขอย่างนั้น แต่ความสุขอาศัยเครื่องปัจจัย ๔ อาศัยนี้เป็นความสุขของโลกเขา กับความสุขอันที่ความพอใจ ความสุขของใจ เอวัง